คิดอย่างสามัญ การเมือง ‘ผึ้งแตกรัง’ (วันที่ 1 พฤศจิกายน 2565)

การเมือง ‘ผึ้งแตกรัง’ วัดใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา อยู่หรือไป !!

กรณี ‘โน้ส-ศักดิ์เสื้อแดง-ศรีสุวรรณ-โตโน่’ สะท้อนสังคมกำลังป่วยไข้

สถานการณ์การเมืองขณะนี้ในซีกพรรคร่วมรัฐบาล กำลังพูดถึงความไม่ชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ว่าจะเดินหน้าทางการเมืองสมัยหน้าต่อไปอย่างไร

ถ้าตัดสินใจเดินต่อ จะยังคงอยู่กับ “พรรคพลังประชารัฐ” ที่เคยเป็นแกนหนุนให้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หรือจะไปสังกัดพรรคการเมืองใด !!

จนถึงวันนี้ใกล้ครบวาระและใกล้จะมีการเลือกตั้งครั้งใหม่ ก็ยังไม่มีความชัดเจนอะไรเลย
จากปากของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา

จึงไม่แปลกใจที่ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐกำลังอยู่ในภาวะระส่ำระสาย แบ่งซีกแบ่งฝ่ายกันชัดเจนระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี กับ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ซึ่งเป็นน้องเล็กและพี่ใหญ่แห่งบูรพาพยัคฆ์

ขณะเดียวกันก็มีพรรคการเมืองอื่นทั้งพรรคฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้านพยายามกวาดต้อนบรรดา
ส.ส.หรือนักการเมืองระดับแม่เหล็กของพรรคพลังประชารัฐไปสังกัดพรรคของตัวเอง และหลายคนจากพรรคพลังประชารัฐก็โดดไปเข้าสังกัดพรรคการเมืองอื่น หรือมีท่าทีรอจังหวะจะโดดไปอยู่กับพรรคการเมืองอื่น

ในทางการเมืองคนถ้าคนที่เป็นผู้นำไม่มีความชัดเจนแน่นอน ก็จะไม่มีใครเอาด้วย เพราะไม่มีเหตุผลว่าถึงเวลาชัดเจนทำไมจึงไม่ชัดเจน หรือกำลังเหยียบเรือสองแคม หรือกำลังคอยจังหวะชนะไหนเข้าด้วยช่วยกระพือหรือเปล่า

ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่มีความสง่างามแน่ !!

ความไม่ชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้พรรคพลังประชารัฐนับวันยิ่งมีเลือดไหลออกไปอยู่พรรคอื่น ทั้ง ๆ ที่พรรคการเมืองนี้เคยเป็นแรงสนับสนุนหลักให้ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อปี ๒๕๖๒

ที่น่าจับตาคือนักการเมืองคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐรวมถึงพรรคการเมืองใหญ่หลายพรรคทั้งฝ่ายรัฐบาลและฝ่ายค้าน กำลังเทไปไหลรวมกับ “พรรคภูมิใจไทย” ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นหัวหน้าฯ นับว่าชั่วโมงนี้ พรรคภูมิใจไทย กำลังเป็นพรรคเนื้อหอม

มีคำถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ โดนโจมตีรอบทิศในประเด็นอยู่มานานถึง ๘ ปี บวกกับ
ส.ส.ส่วนหนึ่งในพรรคพลังประชารัฐก็ไม่ปลื้ม จะตัดสินใจเดินหน้าต่อในเส้นทางการเมืองอย่างไร
แต่เมื่อมองถึงความเคลื่อนไหวตอนนี้ คาดว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังพิสมัยอยู่ในอำนาจต่อไป ซึ่งผิดกับสมัย
พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ท่านจะไม่มีอะไรที่น่าตำหนิ แต่การอยู่ในตำแหน่ง
นาน ๆ คนก็เบื่อ ท่านประกาศไม่ไปต่อ เพื่อเปิดทางให้คนอื่นได้เข้ามาแสดงฝีมือบ้าง

๘ ปีภายใต้การบริหารประเทศของ พล.อ.ประยุทธ์ แม้ผลงานการพัฒนาประเทศมีไม่น้อย
แต่การไม่ปฏิรูปประเทศตามคำมั่นสัญญาอย่างจริงจัง รวมถึงการปฏิรูปตำรวจก็ไม่คืบหน้า เพิ่งจะเริ่มต้น
ตอนใกล้ครบวาระของรัฐบาลชุดนี้

ชัดเจนแล้วว่าประเด็นอยู่ในตำแหน่ง ๘ ปีของ พล.อ.ประยุทธ์ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญโดยเสียงข้างมากได้วินิจฉัยแล้วว่าให้อยู่ต่อได้อีก ๒ ปี นั่นหมายถึงว่าถ้า พล.อ.ประยุทธ์ สามารถขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องอีกหลังการเลือกตั้งสมัยหน้า ก็เป็นได้แค่ ๒ ปี (สิ้นสุดประมาณปี ๒๕๖๘) ไม่สามารถเป็นนายกฯอยู่ครบเทอม ๔ ปีในครั้งหน้าได้ ส่วนที่เหลืออีก ๒ ปีหรือครึ่งเทอมหลัง ก็ต้องส่งไม้ผลัดให้บุคคลอื่นขึ้นเป็นนายกฯแทน

เท่าที่ประเมินเวลานี้คนเบื่อความไม่ชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ และความแตกแยกภายใน
พรรคพลังประชารัฐ จึงไม่แน่ใจว่าหลังเลือกตั้งคราวหน้าจะมี ส.ส.ในสังกัดพรรคนี้ได้รับเลือกสักกี่คน จะสามารถเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลได้อีกต่อไปหรือไม่

ส่วน “ลุงป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ แม้จะเป็นผู้มากบารมีก็จริง สามารถแตะมือกับพรรคนั้นพรรคนี้ได้ก็จริง แต่ พล.อ.ประวิตร ก็ไม่มีบุคลิกภาพที่จะขึ้นเป็นผู้นำได้ เพราะลุงป้อมไม่เคยแสดงวิสัยทัศน์ในแบบอย่างของผู้นำประเทศได้เลยสักครั้งเดียว
หากได้รับแรงหนุนให้ขึ้นเป็นนายกฯท่ามกลาง เสือ สิงห์ กระทิง แรด บวกกับความรุนแรงของพวก
ชังชาติ ชังสถาบันฯ ลุงคงยากที่จะรับมือกับแรงกดดันรอบด้านได้ 

ความไม่ชัดเจนของ พล.อ.ประยุทธ์ ทำให้มีการมองว่าท่านอาจยุติบทบาททางการเมืองหลังครบวาระรัฐบาลนี้ในต้นปีหน้าก็เป็นได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ก็จะลงจากตำแหน่งอย่างสง่างาม ครบวาระของรัฐบาลชุดนี้วันไหน ประกาศเลยว่า “ไม่ไปต่อ” แม้จะมีพรรคการเมืองต่าง ๆ มาติดต่อขอให้ลงสนามการเมืองอีก
ก็ปฏิเสธไป จะเป็นทางออกที่สง่างามมากสำหรับชายชาติทหารที่ชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
 

สำหรับพรรคการเมืองคนรุ่นใหม่อย่าง “พรรคก้าวไกล” หากมองถึงความตั้งใจทำงานการเมือง
ก็มีนโยบายที่น่าสนใจหลายเรื่อง เป็นเรื่องที่พรรคการเมืองเก่าไม่กล้าคิด ไม่กล้านำเสนอ คนรุ่นใหม่ให้การสนับสนุนพรรคนี้จำนวนมาก

แต่ไม่เข้าใจว่าทำไมแนวทางการเมืองของพรรคก้าวไกลนี้ต้องหมกมุ่นอยู่กับการแก้ไข
มาตรา ๑๑๒, ๑๑๖ หรือแสดงออกในทางด้อยค่าสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างจริงจังและก้าวร้าว

คนหนุ่มสาวเป็นพลังบริสุทธิ์ เป็นอนาคตของชาติบ้านเมือง แต่เมื่อมีแนวทางที่เป็นปฏิปักษ์กับสถาบันฯโดยอ้างว่าต้องการปฏิรูป ก็ยากที่คนไทยทั้งประเทศจะรับได้

ถ้าตั้งใจทำงานการเมืองให้ถูกใจประชาชน นำเสนอนโยบายใหม่ ๆ เช่นการแก้ไขปัญหา
ปากท้อง การพัฒนาด้านเทคโนยีสมัยใหม่ที่คนรุ่นใหม่ถนัด ลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม
แก้ไขปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ปฏิรูปตำรวจ-ทหาร ฯลฯ สร้างความศรัทธาจนพรรคสามารถมี
ส.ส.เป็นเสียงข้างมากในสภาฯ ถึงเวลานั้นจะแก้ไขกฎหมายอะไรก็ทำได้ง่ายตามวิถีทางประชาธิปไตย

ไม่ใช่วิธีการเอากำปั้นทุบดินหรือใช้วิธีการรุนแรงเพื่อเอาชนะเหมือนเด็กงอแงที่ทำอยู่ในปัจจุบัน นอกจากเจ็บมือเจ็บตัวแล้ว ยังไม่สามารถชนะได้อีกด้วย

ส่วนเรื่องที่สังคมให้ความสนใจเมื่อห้วงเดือนที่ผ่านมา คือกรณี นายศรีสุวรรณ จรรยา
เลขาธิการสมาคมองค์การพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย ได้ไปร้องเรียนต่อ สำนักงานตำรวจสอบสวนกลาง
เพื่อให้เอาผิดกับ “โน้ส” นายอุดม แต้พานิช นักทอล์คโชว์ชื่อดัง ที่ใช้เวทีการแสดง “เดี่ยว ๑๓” พูดจาเสียดสีด้อยค่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในเชิงตลกขบขันให้ผู้ชมหัวเราะเฮฮา

แต่การไปร้องเรียนของนายศรีสุวรรณคราวนี้ ถูก นายวีรวิชญ์ รุ่งเรืองศิริผล หรือ “ศักดิ์ เสื้อแดง”
ที่เป็นกลุ่มคนเสื้อแดง มีประวัติรับใช้ระบอบทักษิณ เกลียดชังรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ โดดชกต่อยขณะกำลังให้สัมภาษณ์นักข่าวจนนายศรีสุวรรณได้รับบาดเจ็บ

หลังเกิดเหตุ มีคนมองว่าโน้สเป็นนักทอล์คโชว์ที่กล่าวเสียดสีผู้นำทุกรัฐบาล แม้แต่ นายทักษิณ ชินวัตร และ .ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โน้สก็ไม่เคยเว้น

แต่การกล่าวถึง พล.อ.ประยุทธ์ ใน “เดี่ยว ๑๓” ค่อนข้างแรงในเชิงลบและด้อยค่าการเป็นผู้นำอย่างรุนแรงกว่าผู้นำคนอื่นที่โน้สเคยเอ่ยถึง

เมื่อตรวจสอบประวัติโน้ส พบว่าแนบแน่นอยู่กับฝ่ายคนเสื้อแดง โน้สเป็นศิษย์ของวัดพระธรรมกาย ใคร ๆ ก็ทราบดีว่าวัดนี้มีสายสัมพันธ์กับนายทักษิณที่หนีคดีไปอยู่ต่างประเทศ พระธัมมชโย เจ้าอาวาสวัดธรรมกาย ก็ต้องคดีหลบหนีไปเช่นกัน จึงทำให้คิดไปได้ว่าลึก ๆ แล้วโน้สมีมุมมองทางลบกับ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่เป็นทุนหรือไม่ จึงหาทางบ่อนแซะทำลาย

ส่วนกรณีของนายวีรวิชญ์หรือ ศักดิ์ เสื้อแดง ที่บุกทำร้ายนายศรีสุวรรณ พบว่าเป็นหนึ่งในแกนนำคนเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมกับคนเสื้อแดงมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๒ มีพฤติกรรมนิยมใช้กำลังความรุนแรงตัดสินปัญหามาแล้วหลายครั้ง คนพวกนี้มักอ้างตัวว่าเป็นพวกเลื่อมใสระบอบประชาธิปไตย ยอมรับฟังความเห็นของคนอื่น แต่พฤติกรรมการแสดงออกมักย้อนแย้งต่อความเป็นประชาธิปไตยที่อวดอ้าง คือไม่ชอบคนที่มีความเห็นต่าง ชอบใช้ความรุนแรงทำร้ายคนที่มีแนวทางการเมืองไม่ตรงกัน ดังเหตุการณ์ชุมนุมของคนเสื้อแดงในอดีตหลายเหตุการณ์

นายวีรวิชญ์ไม่เคยมีเรื่องบาดหมางเป็นส่วนตัวกับนายศรีสุวรรณมาก่อน ตีเนียนแทรกตัวเข้าไปในกลุ่มสื่อมวลชน อาศัยทีเผลอพุ่งตัวเข้าใช้กำลังชกต่อยนายศรีสุวรรณเหมือนคนเสียสติ

ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าเหตุทำนองนี้เกิดขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้าหน้าที่บ้านเมืองไม่เอาจริงหรือเปล่า
นับวันคนประเภทนี้ฮึกเหิมกันมากขึ้น หรือลำพองตัวคิดว่าถ้าเจ้าหน้าที่รัฐใช้ความรุนแรงก็จะไปฟ้องคุณพ่อยูเอ็น อเมริกา หรือองค์กรต่างชาติให้เอาเรื่องกับรัฐบาลไทย

ที่น่าสนใจคือหลังจากนายวีรวิชญ์ก่อเหตุจนเป็นข่าวโด่งดังแล้ว ก็เปิดบัญชีขอรับบริจาค
จากคนที่สนับสนุนความรุนแรงทันที ได้เงินไหลเข้าบัญชีตัวเองจำนวนมาก เป็นปรากฏการณ์ที่บอกได้ว่าทั้งคนขอและคนให้สันดานเลวพอ ๆ กัน

การที่นายศรีสุวรรณถูกมองว่าชอบยุ่งทุกเรื่อง ชอบร้องเรียน นายศรีสุวรรณก็ต้องรับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง ถ้าเข้าขายกลั่นแกล้งให้คนอื่นต้องรับโทษหรือได้รับผลร้าย หรือส่อไปในทางหมิ่นประมาทหรือทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียง นายศรีสุวรรณย่อมไม่พ้นความรับผิดชอบในทางอาญาและทางแพ่ง อาจถูกฟ้องกลับ ไม่ได้รับข้อยกเว้นจากกฎหมาย

ส่วนกรณี “โตโน่” นายภาคิน คำวิลัยศักดิ์ พระเอกนักแสดงชื่อดัง จัดกิจกรรมการกุศล
โครงการ “One Man & The River หนึ่งคนว่าย หลายคนให้” ว่ายน้ำข้ามแม่น้ำโขงฝั่งไทย-ลาว ระยะทาง ๑๕ กม. เพื่อระดมทุนจัดหาเครื่องมือทางการแพทย์ให้แก่โรงพยาบาลไทยและโรงพยาบาลใน
สปป.ลาว ฝั่งละ ๑ โรงพยาบาล เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคมที่ผ่านมา

ตั้งเป้าหาเงินบริจาคให้ได้ ๑๖ ล้านบาท ก็มีคนคอยแซะว่าไม่ใช่หน้าที่ของโตโน่ เป็นหน้าที่รัฐบาล โตโน่ทำไปทำไม เป็นภาระ ค่อนแคะโดยไม่ให้กำลังใจ ปรากฏว่าหลังจากถูกแซะมีผู้ใจบุญให้การสนับสนุนเพิ่มมากขึ้นรวดเร็วอย่างน่าประหลาดใจ กระทั่งหลังดำเนินกิจกรรมว่ายข้ามแม่น้ำโขงได้สำเร็จ ได้รับเงินบริจาคทะลุกว่า ๗๐ ล้านบาท เป็นปรากฏการณ์สะท้อนถึงความรู้สึกนึกคิดของคนในสังคมไทยที่ต้องการให้กำลังใจคนทำความดี

คนที่ด้อยค่าคุณโตโน่ ก็หมือนพวก “มือไม่พาย เอาเท้าราน้ำ” เมื่อเห็นคุณโตโน่ปลอดภัย
และทราบถึงยอดเงินบริจาคแล้วจะรู้สึกอย่างไรบ้างหรือไม่ หากเทียบกับเงินที่นายศักดิ์ได้รับล้านกว่าบาทจากพวกที่เลวพอ ๆ กัน ก็คงจะชั่งน้ำหนักได้ว่า “ความเลว” กับ “ความดี” ข้างไหนจะชนะใจประชาชน

   ปรากฏการณ์ทั้ง ๒ – ๓ เหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้รู้ว่า “พลังเงียบ” ในสังคมไทยยังมีอยู่
และพร้อมจะออกมาให้กำลังใจคนทำความดีในสังคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙
เคยตรัสไว้ว่า “ในบ้านเมืองนั้น มีทั้งคนดีและคนไม่ดี ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมืองและควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้”

สมัยก่อนพอมีเหตุการณ์อะไรทำนองนี้เกิดขึ้น หลวงพ่อปัญญานันทภิขุ (ปั่น ปทุมุตฺตโร)
อดีตเจ้าอาวาสวัดชลประทานรังสฤษฏ์ จะหยิบเอาไปเป็นประเด็นเทศนาสั่งสอนญาติโยมให้รู้จักมีสติยั้งคิด ให้ทำความดี และให้กำลังใจคนทำดี ใครที่คิดชั่ว ทำชั่ว ก็ไม่มีวันเจริญ.

error: ขอสงวนสิทธิ์ ในการคัดลอกบทความ !!