


จับตาเลือดไหลเข้า-ไหลออกพรรคการเมืองก่อนเลือกตั้งใหญ่
การเมืองเรื่องผลประโยชน์นักการเมืองมิใช่เพื่อประชาชน !!
ช่วงใกล้ครบวาระของรัฐบาลชุดนี้ จะสังเกตได้ว่า โทนี่ วู๊ดซั่ม หรือ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่หนีคดีไปอยู่ต่างแดน ไม่พลาดที่จะออกมาแสดงความคิดเห็นในคลับเฮ้าท์ทุกวันอังคาร
ส่วนใหญ่เน้นวิพากษ์วิจารณ์การบริหารของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รวมถึงมองความเคลื่อนไหวของนักการเมืองที่กำลังเปลี่ยนขั้วย้ายพรรคกันอุตลุด และขอโอกาสให้
“พรรคเพื่อไทย” ได้มีโอกาสเป็นรัฐบาลสมัยหน้าเพื่อแสดงฝีมือในการแก้ปัญหาของบ้านเมือง
และบ่อยครั้งนายทักษิณจะพูดว่าตนได้กลับประเทศไทยแน่ ๆ หลังการเลือกตั้งปีหน้า
ด้วยมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยจะได้จำนวน ส.ส.ชนิดแลนด์สไลด์เป็นเสียงข้างมากเป็นแกนนำจัดตั้ง
รัฐบาล พร้อมย้ำว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบายประชานิยมใหม่ ๆ มาฝากประชาชน และจะเอาโครงการจำนำข้าวกลับมาดำเนินการอีก
คงคิดว่าพูดเช่นนี้บ่อย ๆ จะทำให้มีพลังโน้มน้าวใจผู้รับชมรับฟังที่เป็นแฟนคลับเฮ้าท์ในเชิงจิตวิทยามวลชน เนื่องจากนายทักษิณเป็นนักธุรกิจ ทำหรือมองอะไรต้องหวังผลในเชิงบวก
ประกอบกับยังมีกลุ่มคนเสื้อแดงและผู้คนอีกจำนวนมากที่ยังให้ความศรัทธาในแนวทางการทำงานของนายทักษิณ
แต่เชื่อว่าการออกมาเจื้อยแจ้วทางคลับเฮ้าท์ดังกล่าวจะมีผลน้อยมาก เพราะเรื่องที่ทำไว้แต่หนหลังโดยเฉพาะโครงการจำนำข้าวสมัย น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีที่เป็นน้องสาวทำไว้ ได้สร้างความเสียหายให้แก่รัฐหลายแสนล้านบาท มีชาวนาฆ่าตัวตายไปจำนวนหลายสิบคน รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องคดีโกงจำนำข้าวถูกศาลพิพากษาจำคุก คนไทยยังต้องชดหนี้ให้แก่ความเสียหายของโครงการนี้ ยากที่คนไทยจะลืมง่าย ๆ
คนที่อยู่ตรงข้ามกับนายทักษิณ ก็ไม่ปล่อยให้นายทักษิณออกมาแสดงความเห็นใน
คลับเฮ้าท์ฝ่ายเดียว อะไรที่นายทักษิณพูดแล้วไม่ตรงกับข้อเท็จจริง ก็ออกมาตอบโต้ด้วยหลักฐานทั้งข่าวและภาพในอดีต เหมือนเอาหนังเก่ามาฉายซ้ำซ้ำอีก เพื่อไม่ให้คนลืม
เรื่องนี้เหมือนเหรียญสองหน้า ย้ำเตือนสังคมไม่ให้คนลืมสิ่งที่นายทักษิณและน้องสาว
ทำไว้ในอดีต แต่การเอาเรื่องเก่ามาย้ำเตือนก็ต้องคิดให้ได้ว่าการย้ำบ่อย ๆ ประโยชน์มันไม่เกิด เพราะคนรู้อยู่แล้วว่าเป็นยังไง ควรออกมาตามจังหวะที่เห็นสมควร ไม่ควรมากเกินไป
ข่าวความเคลื่อนไหวของนักการเมืองในขณะนี้เป็นไปอย่างคึกคัก โดยเฉพาะพรรคการ
เมืองใหญ่ เช่น พรรคพลังประชารัฐ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย
พรรคก้าวไกล มีนักการเมืองในสังกัดย้ายเข้าย้ายออก หลายคนคิดจะย้ายไปอยู่พรรคอื่น
ก็ยังไม่ใช่จังหวะแสดงตัวตนออกมาเต็มที่ในขณะนี้
พรรคไหนที่มี ส.ส.หรือนักการเมืองตัวเด่นขอย้ายตัวเองไปอยู่พรรคอื่น ภาษาการเมืองเรียกว่า
“เลือดไหลออก” คาดว่าหลังการประชุมเอเปคจะมีเลือดไหลออกจากพรรคต่าง ๆ อีกจำนวนมาก
เรื่องทำนองนี้เหมือนเป็นจิตวิทยาหมู่ หรืออุปาทานหมู่ พอมีคนมาชักชวนหรือเสนอผลประโยชน์ที่จะได้ ก็คิดไตร่ตรองกันหนัก ลืมความเป็นพรรคความเป็นพวกที่ผูกพันกันมาแต่หนหลัง
โดยเฉพาะ “พรรคประชาธิปัตย์” มีเลือดไหลออกมากในขณะนี้ นอกจากนักการเมืองที่มี
ชื่อเสียงอยู่กับพรรคมานานได้ทยอยลาออกไปตั้งพรรคใหม่ หรือไปอยู่พรรคใหม่
ล่าสุด ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีต ส.ส.สงขลา หลายสมัย อดีตรัฐมนตรีว่าการหลายกระทรวงในสังกัดพรรคประชาธิปัตย์ มีความรู้ความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ก็ลาออกจากพรรคไปแล้วเช่นกัน โดยไปเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี
แม้กระทั่ง น.ส.รังสิมา รอดรัศมี ส.ส.สมุทรสงคราม ที่แนบแน่นอยู่กับพรรคมานาน เป็น ส.ส.สมุทรสงคราม ติดต่อกันหลายสมัย ก็ร่ำ ๆ จะออกจากพรรคประชาธิปัตย์ โดยบอกว่ากำลังทำโพลถามประชาชนว่าจะให้อยู่พรรคประชาธิปัตย์ต่อไปหรือจะให้ไปอยู่พรรคอื่น ปากก็พูดว่า
เคารพนับถือ นายชวน หลีกภัย แต่ดูเหมือน น.ส.รังสิมาไม่มีความมั่นใจในพรรคตัวเองเลย
ในห้วงเวลานี้ มีเสียงร่ำลือกันว่า พรรคการเมืองใหญ่กำลังติดต่อทาบทามซื้อตัวนักการเมือง
ที่เป็น “ตัวเต็ง” และมีโอกาสเป็น ส.ส.ในแต่ละพื้นที่โดยให้ค่าตัวสูงในระดับที่น่าพอใจ ถามว่า
การซื้อตัวที่ว่ามีจริงหรือไม่ คำตอบคือ “จริง” ซึ่งการ “ซื้อตัว” เป็นเรื่องที่ไม่อาจเปิดเผยได้
นักการเมืองก็เป็นปุถุชน กิเลสตัณหาความอยากได้อยากมียังไม่หลุดพ้น ถ้ามีการเสนอราคาค่าตัวสูง ๆ ให้ ก็ลังเลได้เหมือนกัน เงินไม่ใช่งู เอาเงินไว้ก่อน เพราะการเมืองทุกวันนี้เอาแน่นอนอะไรไม่ได้
สมัยก่อนนักการเมืองดัง ๆ ระดับแม่เหล็กหลายคนที่เคยแนบแน่นกับพรรคเพื่อไทย เคยเป็น
รัฐมนตรีในสังกัดพรรคเพื่อไทย วันนี้ย้ายมาซบกับพรรคพลังประชารัฐ หนุนช่วยพรรคพลังประชารัฐจนได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล นักการเมืองประเภทนี้แกว่งไปแกว่งมาก เดาใจยาก
หาความแน่นอนอะไรไม่ได้ ขณะนี้พรรคพลังประชารัฐเริ่มไม่เป็นเอกภาพ ก็เตรียมโดดหนีไปอยู่พรรคอื่น
มองสนามการเมืองที่ภาคใต้ วันนี้ “ประชาธิปัตย์” ค่อนข้างหนัก เพราะมีเลือดไหลออกในช่วงนี้มาก เลือกตั้งใหญ่เมื่อปี ๒๕๖๒ ได้ ส.ส.น้อยเกินคาด เดาว่าคนใต้คงจะเบื่อ
พรรคประชาธิปัตย์ คนในพรรคแตกสามัคคี และทำอะไรเหมือนเตะลูกเข้าเท้าทักษิณอยู่เรื่อย
ช่วงหลังประชาธิปัตย์ก็สนับสนุนบัตรเลือกตั้ง ๒ ใบ และสูตรหาร ๑๐๐ รู้ทั้งรู้ว่าทำอย่างนี้
พรรคเพื่อไทยได้เปรียบ ก็สนับสนุนแนวทางนี้ ผลการเลือกตั้งครั้งหน้าจะพิสูจน์ว่าแนวทางนี้เดินถูกทางหรือไม่
หลังการเลือกตั้งหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ครั้งล่าสุด ที่ นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้รับเลือก
เป็นหัวหน้าพรรค เกิดแรงกระเพื่อมครั้งใหญ่ในพรรคการเมืองเก่าแก่นี้
คู่แข่งที่แพ้แก่นายจุรินทร์ล้วนแตกออกไปจากพรรค เช่น นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม มือปราบ
จำนำข้าว ก็ไปตั้ง “พรรคไทยภักดี” และขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค, นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค
ก็ไปตั้ง “พรรครวมไทยสร้างชาติ” และขึ้นเป็นหัวหน้าพรรค, นายกรณ์ จาติกวณิช ก็ไปตั้ง
“พรรคกล้า” และขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคกล้า (ขณะนี้ไปรวมกับพรรคชาติพัฒนา เป็น “พรรคชาติพัฒนากล้า”) เชื่อว่าการเลือกหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะเป็นเหตุสำคัญที่เกิดความแตกแยกในพรรค
ในอดีตของพรรคประชาธิปัตย์ก็มีนักการเมืองคนดังแยกตัวออกไป เช่น นายสมัคร
สุนทรเวช ออกไปตั้งพรรคประชากรไทย นายอุทัย พิมพ์ใจชน ก็ได้ลาออกไปตั้งพรรคก้าวหน้าและขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นหัวหน้าพรรค แกนนำกลุ่ม ๑๐ มกรา ในพรรคประชาธิปัตย์ ก็ออก
ไปอยู่กับพรรคไทยรักไทย ของ นายทักษิณ ชินวัตร
การเมืองเป็นเรื่องของผลประโยชน์และความอยู่รอดของนักการเมือง การทำงานเพื่อประชาชนตามอุดมการณ์จริง ๆ น่าจะเป็นเรื่องรองลงมา
ยิ่งใกล้วันเลือกตั้ง ก็มีข่าวราคาค่าตัวนักการเมืองตัวเต็งในพื้นที่มีการให้ราคาสูงถึงหลายสิบล้านบาท บางคนค่าตัวสูงถึงกว่า ๘๐ ล้านบาท ถ้าเป็นจริงตามข่าว ก็เป็นเรื่องไม่น่าจะเกิดในประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย เพราะตัวแทนประชาชนในสภาควรเป็นตัวแทนที่ได้รับเลือกตั้งมาจากศรัทธาบริสุทธิ์ของประชาชน มิใช่ตัวแทนที่ถูกนักธุรกิจการเมืองซื้อตัว
ไม่คิดว่ายุคนี้จะซื้อตัวกันหนักหน่วงถึงเพียงนี้
คนที่ลงสมัครแล้วได้รับเลือกค่อนข้างชัวร์ ราคาค่าตัวก็จะสูงเป็นธรรมดา ถ้าไม่มั่นใจจะทุ่มซื้อไปทำไม ยิ่งถ้านักการเมืองคนไหนมีบารมีมากพอที่จะเกี่ยวผู้สมัครร่วมทีมในพื้นที่ให้ได้เป็น ส.ส.ชนิด “ยกพวง” ได้ ก็ยิ่งจะได้รับค่าตัวเพิ่มมากขึ้น
พูดกันหยาบ ๆ ก็เหมือนประมูลซื้อตัวหญิงงามเมืองอันเป็นที่หมายปองไปไว้ในครอบครองนั่นแหละ
ช่วงนี้มีข่าวว่า น.ส.แพรทองธาร ชินวัตร หรือ “อุ๊งอิ๊ง” บุตรสาวคนเล็กของนายทักษิณและถูกมองว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง ก็คงจะตระเวนไปช่วยพรรคเพื่อไทยหาเสียงในจังหวัดต่าง ๆ ได้ไม่เต็มที่
สำหรับคุณอุ๊งอิ๊งที่นายทักษิณหมายมั่นปั้นมือให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เพราะพรรษาหรือประสบการณ์ทางการเมืองยังมีไม่พอ ลงพื้นที่ไม่กี่วันก็จะขึ้น
เป็นนายกฯปกครองประเทศแล้ว ยากที่จะยอมรับได้ ถ้าได้ขึ้นเถลิงอำนาจจริง อาจซ้ำรอย
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ผู้เป็นอาที่ไม่ประสาทางการเมือง ทำงานการเมืองท่ามกลางเสือสิงห์กระทิงแรดได้
ไม่นาน สุดท้ายก็ต้องหนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่ต่างประเทศ ไปอยู่กับนายทักษิณที่หนีคดีเช่นกัน
แต่ก็เป็นไปได้ว่าคุณอุ๊งอิ๊งอาจถูกเสนอชื่อให้เป็น ๑ ใน ๓ ของตัวแทนพรรคเพื่อไทยที่จะ
เป็นแคนดิเดตนายกฯสมัยหน้า อย่างน้อยตอนหาเสียงคนที่ยังศรัทธานายทักษิณและระบอบทักษิณ คุณอุ๊งอิ๊งก็จะเป็นแรงจูงใจให้คนที่ชื่นชอบลงคะแนนให้ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปได้ทั้งนั้น ทั้งสิ้นทั้งปวงขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของประชาชน
การประชุมเอเปค (APEC) Asia-Pacific Economic Cooperation เป็นเวทีการประชุมความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ที่มีความสำคัญระดับโลก มีเป้าหมายหลักเพื่อส่งเสริมการเปิดเสรีการค้าการลงทุน ความร่วมมือในด้านมิติสังคมและการพัฒนาด้านอื่น ๆ ปีนี้ประเทศไทยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมระหว่างวันที่ ๑๘ – ๑๙ พฤศจิกายนนี้ ถือว่ามีความสำคัญและเป็นเกียรติของประเทศเรา
แต่ก็มีข่าวว่าจะมีพวกไปป่วนการประชุม เหมือนสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีกลุ่มคนเสื้อแดงไปป่วนการประชุมที่เมืองพัทยา ผู้นำอาเซียนในช่วงนั้นต้องหนีเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น อับอายขายหน้าไปทั้งโลกที่เราไม่สามารถป้องกันพวกถ่อยเถื่อนพวกนี้ได้
ถ้าครั้งนี้เกิดเหตุการณ์เหมือนครั้งก่อนอีก คิดว่าไม่ควรปล่อยไว้ ไม่ควรใช้ไม้นวมจัดการ เพราะกว่าจะได้รับโทษ ไม่ทันใจ ต้องเล่นไม้แข็งให้เข็ดหลาบ เพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
ที่สหรัฐอเมริกามีคนบุกรัฐสภา เจ้าหน้าที่ที่นั่นใช้อาวุธปืนกระสุนจริงยิงอย่างไม่ไว้หน้า
ตายไปหลายคน ใครป่วนเมืองสร้างความวุ่นวายต้องจัดการเด็ดขาด เพราะคนดี ๆ ต้องพลอยรับเคราะห์กรรมไปด้วย มัวไปตามจับทีหลัง คิดหรือว่าพวกนี้จะอยู่ให้จับ แต่ความเสียหายจากการปล่อยปละละเลยมันเกิดขึ้นแล้ว
ผู้นำต้องเข้ม การบังคับใช้กฎหมายต้องเข้ม บ้านเมืองไปไม่รอดแน่ถ้าอ่อนข้อให้แก่คนจำพวกนี้ !!..”