จำคุก

เมื่อวันที่ ๑๗ ธันวาคม นายหิรัญเศรษฐ์
เหยี่ยวประยูร ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ภาค ๗ เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๕ ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๗ ได้มีคําพิพากษาในคดีที่ ป.ป.ช.ได้ชี้มูลความผิดนายวงศกร บัวไสว เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง นายก อบต.ต้นมะพร้าว อ.เมือง จ.เพชรบุรี และได้ส่งสำนวนให้อัยการสูงสุดเพื่อยื่นฟ้องนายวงศกรฐานความผิด
ต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการและความผิดทางอาญา โดยศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ ภาค ๗ พิพากษาให้จำคุกนายวงศกร ๕๔ เดือนและจำคุกนายอำนาจ
ชมเสือ ๓๖ เดือน ฐานเป็นผู้สนับสนุนให้ความช่วยเหลือให้ความสะดวกในการกระทำความผิด

            ทั้งนี้คำพิพากษาชี้ว่านายวงศกรขณะดำรงตำแหน่งนายก อบต.ต้นมะพร้าว ได้กระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการทุจริตโครงการของ อบต.ต้นมะพร้าว ทั้งหมด ๖ โครงการประกอบด้วย ๑. โครงการขุดลอกคูคลอง
น้ำทิ้งสายนางช้วน หมู่ที่ ๓ และหมู่ที่ ๒ ต.ต้นมะพร้าว
เป็นเงิน ๒๘,๘๙๐ บาท ๒. โครงการขุดพร้อมฝังท่อระบายน้ำ บริเวณทางเข้าบ้านหนองแก หมู่ที่ ๑ ต.ต้นมะพร้าว
เป็นเงิน ๓๒,๑๓๐ บาท ๓. โครงการขุดลอกคูคลอง หมู่ที่ ๑
สายบ้านนาโพธิ์นอก สายบ้านนาหนองแก และสาย
นานายเทือง เป็นเงิน ๙๓,๔๔๘ บาท ๔. โครงการปรับปรุงภูมิทัศน์ภายในตำบลต้นมะพร้าว เป็นเงิน ๙๒,๗๐๐ บาท
๕.โครงการขุดลอกคูคลองภายในตำบลต้นมะพร้าว
๕ สาย เป็นเงิน ๖๖,๕๐๐ บาท และ ๖. โครงการขุดลอก
ขยะวัชพืชและดินตะกอนคลองน้ำทิ้งหนองไก่ดำ
เป็นเงิน ๙๕,๐๐๐ บาท

            โดยพฤติกรรมนายวงศกรขณะดำรงตำแหน่งนายก อบต.ต้นมะพร้าว ได้ลงนามในเอกสารใบเสนอราคาและอนุมัติตกลงจ้างเหมาให้นายอำนาจ ซึ่งเป็นหลานชายและเป็นนอมินีของตน ดำเนินงานโครงการโดยตลอด
ระยะเวลาดำเนินโครงการนายอำนาจได้นำรถแทรกเตอร์ แบ็กโฮสีเหลือง ยี่ห้อ KOMATSU รุ่น PC 128 US-2 ที่นายวงศกรเป็นเจ้าของร่วมกับ น.ส.วจิราภรณ์ เกตุบรรจง ซึ่งมีความสัมพันธ์เป็นสามีภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส ไปใช้ในการขุดคลองงานตามสัญญาจ้าง ต่อมาเมื่อคณะกรรมการตรวจการจ้างได้ตรวจรับงานจ้างแล้ว นายวงศกรได้อนุมัติเบิกจ่ายเงินค่าจ้างโดยจ่ายเป็นเช็คและนำไป
ฝากเข้าบัญชี ชื่อบัญชีนายอำนาจ ชมเสือและต่อมา
ได้ใช้บัตร ATM ถอนเงินจากบัญชีธนาคารดังกล่าว
เพื่อให้นายวงศกรผู้รับจ้างได้รับค่าจ้างเป็นประโยชน์สำหรับตนเองโดยทุจริต

            ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบภาค ๗ ได้พิจารณาคดีพิเคราะห์พฤติการณ์การกระทำความผิดของนายวงศกรและนายอำนาจแล้วเห็นว่า การทุจริตเป็นภัยร้ายแรงต่อบ้านเมือง บั่นทอนความเชื่อมั่นที่ประชาชนมีต่อทางราชการ ทั้งยังทำให้เกิดช่องว่างในการฉกฉวยโอกาสหาผลประโยชน์ให้กับตนเองหรือผู้อื่น รัฐจึงจำต้อง
ใช้มาตรการปราบปรามโดยเด็ดขาด เพื่อมิให้เป็น
เยี่ยงอย่าง นายวงศกรและนายอำนาจหาผลประโยชน์จากโครงการของหน่วยงานท้องถิ่นที่ควรเป็นต้นแบบที่ดีให้กับประชาชน แต่กลับใช้โอกาสที่ตนมีหน้าที่รับผิดชอบแสวงหาประโยชน์อันมิชอบด้วยกฎหมายไปเป็นของตนหรือให้ผู้อื่นโดยทุจริต จึงเป็นการกระทำที่ร้ายแรง กรณีไม่มีเหตุให้รอการลงโทษ

            การกระทำของทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๕๒ (เดิม), ๑๕๗ (เดิม) ประกอบมาตรา ๘๖ เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๙๑ รวม ๖ กระทงพิพากษา จำคุกนายวงศกรกระทงละ ๑ ปี จำคุกนายอำนาจกระทงละ ๘ เดือน
ทั้งสองให้การเป็นประโยชน์ลดโทษให้กระทงละ ๑ ใน ๔
คงจำคุกนายวงศกร บัวไสว ๕๔ เดือน และจำคุกนายอำนาจ ชมเสือ ๓๖ เดือน.

error: ขอสงวนสิทธิ์ ในการคัดลอกบทความ !!