


ขอแสดงความเสียใจต่อเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเรือหลวงสุโขทัย อับปางเพราะคลื่นลมพายุที่อำเภอบางสะพาน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อคืนวันที่ ๑๘ ธันวาคม ๒๕๖๕ ทำให้มีกำลังพลเสียชีวิตและสูญหายหลายนาย
คุณเปลว สีเงิน ได้เขียนแสดงความคิดเห็นเรื่องนี้ลงหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕ พาดหัวว่า
“สุโขทัย” กับ “ชลน่าน” เนื้อหาของความเห็นที่นำเสนอก็กระแซะถึงความไม่ประสาของ นายชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส. น่าน หัวหน้าพรรคเพื่อไทยและหัวหน้าฝ่ายค้าน ที่ออกมาเรียกร้องผ่านสื่อให้
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มาแสดงความรับผิดชอบ
พูดง่าย ๆ คือ ให้รับผิดชอบด้วยการลาออกไปเสียให้พ้น ๆ
‘ชลน่าน’ จี้ ‘บิ๊กตู่’ ลาออกตำแหน่ง รมว.กลาโหม รับผิดชอบ
เรือหลวงสุโขทัยอับปาง” (ข่าวไทยโพสต์ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๕)
“ชลน่าน” ทวงถามความรับผิดชอบ “บิ๊กตู่” ในฐานะ
รมว.กลาโหม เหตุ “เรือหลวงสุโขทัย” อับปาง (ข่าวสยามรัฐ วันที่
๒๑ ธันวาคม ๒๕๖๕)
จากประเด็นดังกล่าว คุณเปลว สีเงิน ได้เขียนสะท้อนความคิดขวางโลกของคนที่จ้องจะเอาชนะ โดยไม่ดูเหตุผลและไม่รู้กาลเทศะว่าขณะนี้ควรต้องทำอะไร ผ่านความเห็นว่า
“พรรคฝ่ายค้าน” นอกจากไม่คำนึงถึง “สถานการณ์รวม”
และไม่แยกแยะเหตุเฉพาะหน้าที่ต้องทำก่อนตามวิสัยมนุษย์
พึงมีแล้ว ยังส่อ อำมหิต ไร้น้ำใจ จ้องกระหน่ำซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายทำทุกอย่างมุ่งผลทางการเมืองเพื่อฝ่ายตนตะพึดตะพือประหนึ่งอริราชศัตรู มิใช่คนไทยร่วมชาติ ร่วมแผ่นดินด้วยกัน…
(ข่าวไทยโพสต์ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๖๕)
คุณเปลว ตีความว่า นายชลน่าน ไม่เข้าใจคำว่า ทะเล
ที่แตกต่างจาก แม่น้ำ หรือ น้ำในแอ่งตีนควาย เคยได้ยินคนที่ใช้ชีวิตและผูกพันกับทะเลมักจะพูดว่า คืบก็ทะเลศอกก็ทะเล หมายความว่า
อย่าได้คิดประมาททะเล
แต่ นายชลน่าน กลับแสดงความคิดที่โง่เง่า ชอบทำอวดฤทธิ์เดชเที่ยวไล่บี้ให้คนนั้นคนนี้มาชี้แจง ทั้ง ๆ ที่ก็พอจะทราบอยู่ว่าเหตุการณ์เช่นนี้คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นหรอก
มันจะเป็นแมงป่องกันไปถึงไหน
กูละเอียน “ชูแต่หาง
เองอ้า อวดอ้างฤทธี”
คุณเปลว กล่าวไว้
อย่างนั้น
โคลงโลกนิติที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาเดชาดิศร ทรงรวบรวมและชำระจากโคลงโลกนิติสำนวนเก่าแล้วเรียบเรียงขึ้นใหม่ ได้กล่าวเปรียบเทียบถึงพฤติกรรมของคนที่ชอบอวดอ้างฤทธิ์เดช ให้คนเขาเห็นว่าตนมีอำนาจมาก
แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีพิษสงอะไร ความว่า
นาคีมิพิษเพี้ยง สุริโย
เลื้อยบ่ทำเดโช แช่มช้า
พิษน้อยหยิ่งโยโส แมลงป่อง
ชูแต่หางเองอ้า อวดอ้างฤทธี
จากโคลงข้างต้นต้องการเปรียบเทียบให้เห็นว่า คนที่เขาแน่จริงเขามักไม่อวดตัวกัน อย่างเช่นอสรพิษนั้นมีพิษมาก ยามเลื้อยก็เลื้อยอย่างเชื่องช้าไม่อวดโอ้ว่าตนมีฤทธิ์ ผิดกับแมลงป่องที่มักจะเดินว่องไวแล้วมักกระดกหางของตัวเองขึ้นในเชิงโอ้อวด เพื่อจะบอกให้คนเขารู้ว่าพิษสงของมันมีมากอยู่ที่ปลายหาง
ตอนเด็กจำได้ว่า ป้าชิ้น มากมูล คนบ้านบางจาน อยู่รั้วเดียวกับ
บ้านผม แกจับแมลงป่องมาไต่ตามตัวให้หลาน ๆ ดู ตอนนั้นก็ตื่นตาตื่นใจมาก เข้าใจว่าแกคงมีคาถาป้องกันไม่ให้แมลงป่องต่อยเป็นแน่
ภายหลังถึงได้รู้ว่าป้าชิ้นแกแอบเด็ดพิษที่ปลายหางของมันออก มันจึงต่อยใครไม่ได้อีก
จะว่าไปแล้วสัตว์มีพิษจะมีพิษมากพิษน้อยก็ล้วนอันตราย
ทั้งสิ้น หลบได้เป็นหลบ ฝ่ายค้านก็คงสำคัญตัวว่าตนเองมีพิษสง
พอตัว ถึงได้เดินกร่างโอ้อวดเพราะมีคนหนุนหลัง อย่างกรณีนี้ต้อง
ใช้ว่าโง่แล้วอวดฉลาดด้วย เพราะยังไม่รู้ข้อเท็จจริงก็กลับตีโพยตีพายให้มันเกินเหตุ ที่สำคัญถ้ามีความรู้และเข้าใจธรรมชาติของทะเล
ในยามที่ทะเลสงบและในยามที่ทะเลบ้าคลั่ง ก็จะไม่โชว์โง่ให้อายเสียเปล่า ๆ ที่ผ่านมาลองสังเกตดูครับ ถ้าหัวหน้าพรรคมีพิษสงจริงล่ะก็ ป่านนี้ลูกหาบพรรคเพื่อไทยคงเสนอชื่อให้เป็นแคนดีเดต
นายกฯ ไปแล้ว แต่ไฉนกลับกลายเป็นคนอื่นที่ขนาดหัวหน้าพรรคยังต้องก้มหัวให้
หรือหัวหน้าพรรคจะเป็นได้แค่แมลงป่องที่ถูกเด็ดหาง ดอกกระมัง