


‘ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง’ผงาดสมัย๓
เมื่อมังกรเริ่มขยับตัวโลกจะเป็นอย่างไร
การประชุมสมัชชาใหญ่พรรคคอมมิวนิสต์จีนครั้งที่๒๐เพิ่ง
สิ้นสุดไปเมื่อวันที่๒๒ตุลาคม๒๕๖๕พร้อมกับการเปิดเผยตัว
๗อรหันต์หรือ“คณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมือง”ซึ่งถือว่ามีอำนาจสูงสุดในสาธารณรัฐประชาชนจีน
คนแรกจะดำรงตำแหน่งเลขาธิการพรรค, ประธานาธิบดีและประธานคณะกรรมการกลางฯ (ผู้บัญชาการทหารสูงสุด)คนที่สอง
จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
ที่เหลือก็จะแยกย้ายกันไปคุมส่วนต่างๆสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้นมีราว๙๖ล้านคนจากประชากร๑,๔๐๐ล้านคน
ที่ประชุมจะเลือกคณะกรรมการกลางราว๒๐๐คนเศษซึ่งคณะกรรมการ
เหล่านี้จะไปคัดเลือกโปลิตบูโรราว๒๕คนและคัดเลือกเหลือ๗คนเป็นคณะกรรมการถาวรประจำกรมการเมืองซึ่งได้ประกาศตัวไปแล้วประกอบไปด้วยสีจิ้นผิง, หลี่เฉียง, จ้าวเล่อจี้, หวังฮู่หนิง, ไช่ฉี,
ติงเซวียเสียงและหลี่ซี
ตำแหน่งเบอร์หนึ่งยังคงเดิมแต่ตัวเก็งที่คาดกันไว้ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีเช่นหวังหยางซึ่งเป็นผู้ที่ส่งเสริมการที่เปิดโอกาสให้เอกชนนำการพัฒนาประเทศและอู๋ชุนหัวที่อายุไม่มากอยู่คนละขั้วกับท่านสีจิ้นผิง
คาดกันว่าถ้าเลือกอู๋ชุนหัวแสดงว่าจะมีการประนีประนอม
แต่ปรากฏว่าทั้งหวังหยางและอู๋ชุนหัวไม่ติดแม้แต่ตำแหน่ง
คณะกรรมการกลางและคนที่จะก้าวเข้ามาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีกลับกลายเป็นคนสนิทของสีจิ้นผิงเคยเป็นเลขาธิการพรรคประจำเซี่ยงไฮ้และมีข้อผิดพลาดในเรื่องการป้องกันโควิด-๑๙แต่ก็ถูกมองข้ามไปและพิจารณาโดยรวมนักวิเคราะห์ให้ความสนใจว่าผู้นำทั้ง๗ท่านล้วนแต่เป็นคนที่ประธานาธิบดีสีจิ้นผิงไว้วางใจการข้างหน้าคงจะเป็นเรื่องที่จีนต้องวางความมั่นคงไว้เป็นสำคัญ
ขณะเดียวกันทางด้านเศรษฐกิจคงไม่ปล่อยให้เอกชนแสวงหา
การเติบโตแบบขาดวินัยซึ่งอาจจะมีความไม่พอใจบ้างแต่นโยบายเจริญรุ่งเรืองด้วยกันหรือ Common Prosperity ที่กำลังเข้มข้นจะถูกสานต่อ
สุนทรพจน์ของสีจิ้นผิงไม่มีลักษณะรุนแรงแม้แต่กรณีการรวมไต้หวันยังใช้คำว่าโดยสันติวิธีหากแต่ยังไม่ทิ้งวลีที่ว่าหากจำเป็นจะต้องใช้กำลังโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็อาจจะมี
การชำระแค้นกับสหรัฐก็ไม่ได้พูดถึงมีแต่วางนโยบายการกระจาย
ความเจริญทั่วโลกความร่วมมือกันเป็นหลักด้านเศรษฐกิจไม่เน้นตัวเลขความเจริญเติบโตแต่เน้นการกระจายความสุขความรุ่งเรืองด้วยกัน
เน้นให้ประชาชนอดทนต่อการที่จีนจะถูกกระทำในหลายๆด้าน
ทั้งจากโรคภัยไข้เจ็บที่ระบาดไปทั่วโลกการถูกรังแกทางเศรษฐกิจจากตะวันตกเพื่อเดินไปสู่ความแข็งแกร่งของจีนในปี๒๐๓๕เขาใช้คำว่า“พัฒนา”
สิ่งสำคัญที่ดูจะเน้นเป็นพิเศษคือเรื่องของเทคโนโลยีที่จีนจะต้องระดมสรรพกำลังในการคิดค้นประดิษฐ์นวัตกรรมต่างๆที่ถูกกีดกันจากตะวันตกเช่นเซมิคอนดักเตอร์ฯลฯและจีนได้ละเลยในการเอาจริง
เอาจังกับเรื่องดังกล่าวในอดีตเพราะมุ่งต่อยอดจากงานวิจัยที่เรียกว่า Apply Research ยุคใหม่นี้จีนจะเน้นเรื่อง Basic Research มากขึ้น
เมื่อผู้นำจีนในสมัยที่๓ซึ่งยังไม่เคยมีมาก่อนกลับมาผงาดอีกครั้งด้วยความสามารถในอดีตที่ทำให้โลกทึ่งกับการพัฒนาประเทศที่ต้องจดจำวิถีทางเดินข้างหน้าท่ามกลางอุปสรรคขวากหนามทั้งในประเทศและนอกประเทศย่อมส่งผลกระทบต่อประเทศทั้งหลายทั้งที่เคยพึ่งพาจีนมากและน้อยจำต้องอ่านเกมของมังกรระดับโลกให้ขาดมิฉะนั้นนโยบายหรือการพลิกเศรษฐกิจประเทศจะตามไม่ทันและหากพลาดพลั้งไปอาจจะถึงกาลล่มสลายเหมือนในบางประเทศประสบ
ปีหน้าจะเป็นอีกปีหนึ่งที่การเมืองโลกหรือแม้แต่สงครามโลกครั้งที่๓มีโอกาสอุบัติขึ้นประเทศไทยเป็นประเทศเล็กๆจะปรับตัวอย่างไร
ถึงจะรอดพ้นวิกฤติที่คาดกันว่าจะหนักหนาสาหัสสากรรจ์พอสมควร
แม้ประเทศมหาอำนาจอย่างอังกฤษยังต้องเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเวลาแค่เพียง๔๕วันเท่านั้นความสามารถในการบริหารจึงเป็น
สิ่งสำคัญไม่เว้นแม้แต่เรื่องที่มองดูเล็กๆอย่างน้ำท่วมในหลายจังหวัดของไทยว่าเป็นเพราะอากาศวิปริตหรือ “วิกฤติ” บริหาร.