ศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคลที่ผ่านพ้นไปเมื่อระหว่างวันที่ ๑๙ – ๒๒ กรกฎาคมที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ครั้งสุดท้ายก่อนที่จะสิ้นสุดวาระของรัฐบาลชุดนี้ในต้นปี ๒๕๖๖ ญัตติการขอเปิดอภิปรายครั้งนี้กล่าวหาว่า พล.อ.ประยุทธ์และรัฐมนตรีรวม ๑๑คน เป็นผู้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง ประเทศชาติประสบความตกต่ำอย่างถึงที่สุดในทุกด้าน ทั้งด้านการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ประชาชนสูญเสียโอกาสที่จะได้คุณภาพชีวิตและหลักประกันการดำรงชีวิตที่ดี เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า เกิดภาวะ “รวยกระจุก จนกระจาย” และ “ค่าครองชีพสูง คุณภาพชีวิตต่ำ”
หากยังปล่อยให้พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา และรัฐมนตรีทั้ง ๑๑ คนดังกล่าวบริหารราชการแผ่นดินต่อไป ย่อมนำมาซึ่งความเสียหายแก่ประเทศชาติจนยากที่จะเยียวยาแก้ไขได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ติดตามการอภิปรายตลอด ๔ วัน พบว่าเนื้อหาที่นำมาอภิปรายส่วนใหญ่เป็นเรื่องเดิม ๆ ที่ฝ่ายค้านเคยหยิบมาเป็นประเด็นอภิปรายเมื่อ ๒ – ๓ ครั้งที่ผ่านมา หนักไปในทางกล่าวถ้อยเชิงดูหมิ่นเหยียดหยาม พล.อ.ประยุทธ์ ที่เป็นผู้นำรัฐประหารเมื่อปี ๒๕๕๗ และบริหารบ้านเมืองล้มเหลวตลอดห้วงดำรง โดยไม่กล่าวถึงผลงานในเชิงเปรียบเทียบกับรัฐบาลที่ผ่านมา แม้แต่ประเด็นการทุจริตก็ไม่สามารถหาใบเสร็จมาสร้างความเชื่อถือในน้ำหนักของฝ่ายค้านได้
แม้ภายหลังการลงมติเมื่อวันที่ ๒๓ ก.ค. พล.อ.ประยุทธ์ และรัฐมนตรีรวม ๑๑ คนได้รับเสียงไว้วางใจเกินกึ่งหนึ่ง โดยไม่ต้องลาออกจากตำแหน่งตามกติกาของรัฐธรรมนูญ แต่ต้องยอมรับว่าคะแนนไว้วางใจและไม่ไว้วางใจที่ปรากฏออกมาได้บ่งบอกให้เห็นว่าทั้งพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลและพรรคร่วมฝ่ายค้านเกิดความแตกแยก ไม่มีความเป็นเอกภาพ แถมยังมี “งูเห่า” ของพรรคฝ่ายค้านบางพรรคโหวตยกมือสนับสนุนให้ฝ่ายรัฐบาล และ ส.ส.ฟากรัฐบาลโหวตคว่ำหรืองดออกเสียงให้รัฐมนตรีในพรรคของตัวเอง ที่เห็นชัดเจนคือ ส.ส.กลุ่มปากน้ำ (สมุทรปราการ) พรรคพลังประชารัฐ ร่วมใจกันไม่ลงคะแนนไว้วางใจให้แก่พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา รมว.กระทรวงมหาดไทย
คาดการณ์กันว่า พล.อ.ประยุทธ์น่าจะปรับ ครม.หลังศึกอภิปรายครั้งนี้ เนื่องจากต้องจัดทัพเตรียมการเลือกตั้งครั้งหน้าที่กำลังจะมาถึง ตำแหน่ง “รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย” ที่มีอำนาจแต่งตั้งโยกย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ซึ่งพลังการเมืองในพรรคร่วมรัฐบาลต้องการให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ไปคุมบังเหียนกระทรวงนี้ นอกจากนี้ยังมีตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการอีก ๒ กระทรวงที่ว่างอยู่และจ้องกันตาเป็นมัน การเมืองวันนี้ไม่มีใครห่วงเสียงสนับสนุนรัฐบาล แต่กรณี “สนิมเกิดแต่เนื้อในตน” หากไม่เร่งแก้ไข โอกาสที่ลุงตู่จะอยู่ยาวคงเป็นได้แค่ความฝัน.