ปลด ร.อ.ธรรมนัส แรงกระเพื่อมครั้งใหญ่จับตาบิ๊กตู่ ‘ยุบสภา’ 2 พระมหาชื่อดังเทศน์แขวะการเมืองไม่เหมาะแก่สมณสารูป

ปรากฏการณ์“บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ปลด ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อม ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ซึ่งทั้งสองนับว่าเป็นคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐและมีความใกล้ชิดกับ “บิ๊กป้อม”พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ

ถือเป็นปรากฏการณ์ไม่ธรรมดา และไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่ปลดชนิดไม่เผาผีกันเช่นนี้

ตัวเด่นในเรื่องนี้คือ ร.อ.ธรรมนัส ซึ่งมีภาพเป็นนักการเมืองมือประสานสิบทิศ เข้าได้กับทุกพรรคการเมืองทั้งพรรคเล็กพรรคใหญ่ ทั้งยังมี ส.ส.ส่วนหนึ่งในสภาให้ความเคารพเชื่อถือ ในทางการเมืองสามารถก้าวถึงตำแหน่งเลขาธิการพรรคใหญ่ ถึงวันนี้ก็ถูกมองว่าเลขาธิการพรรคระดับนี้ตำแหน่ง“รัฐมนตรีช่วย” คงจะไม่เหมาะแก่ฐานานุรูปแล้ว ควรขึ้นถึง “รัฐมนตรีว่าการ” จึงจะสมศักดิ์ศรี

ดูอย่าง พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ สมัยเป็นเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ก็ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นายเสนาะ เทียนทองสมัยเป็นเลขาธิการพรรคความหวังใหม่ ก็ได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย

เพราะฉะนั้น ร.อ.ธรรมนัสคงหวังอยู่ลึก ๆ ถึงเวลาแล้วที่จะได้ขยับตำแหน่งขึ้นว่าการเป็นเจ้ากระทรวงกับเขาบ้าง ครั้นจะขยับไปว่าการกระทรวงมหาดไทยแทน “บิ๊กป๊อก”พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ก็คงจะไปแทนที่ไม่ได้ง่าย ๆ เพราะบิ๊กป๊อกเป็นหนึ่งใน 3 ป. (ป้อม, ป๊อก, ประยุทธ์) แห่งบูรพาพยัคฆ์ พี่น้องร่วมสาบาน

ที่สำคัญ“กระทรวงมหาดไทย”เป็นกระทรวงสำคัญระดับเกรดเอ ที่ควบคุมดูแลและสั่งการไปยังหน่วยงานปกครองทั่วประเทศ ผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดก็อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย นักการเมืองต่างก็ปรารถนาที่จะได้เข้าไปมีอำนาจในกระทรวงนี้

แม้จะหวังเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยได้ยาก แต่ถ้าได้ขึ้นว่าการกระทรวงใดกระทรวงหนึ่ง ก็ดูจะสมศักดิ์ศรีเลขาธิการพรรคใหญ่

เมื่อมองไปที่ ส.ส.ในพรรคพลังประชารัฐหลายคนที่ไม่ได้มีบทบาทมากเหมือน ร.อ.ธรรมนัส เช่น นายสมศักดิ์ เทพสุทิน ได้ขึ้นว่าการกระทรวงยุติธรรม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ ได้ขึ้นว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม นายสุชาติ ชมกลิ่น ได้ขึ้นว่าการกระทรวงแรงงาน การขยับตัวเพื่อส่งสัญญาณเรียกร้องตำแหน่งจึงเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีในทางการเมือง

แต่บิ๊กตู่ก็ยังไม่ส่งสัญญาณ!!

ส่วนที่มองกันว่าการที่บิ๊กตู่ตัดสินใจปลด ร.อ.ธรรมนัสชนิดสายฟ้าแลบคราวนี้ น่าจะมีเบื้องหลังที่มากกว่าการขอให้ขยับฐานะทางการเมือง เนื่องจากเป็นห้วงของการลงมติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ ความเคลื่อนไหวของ ร.อ.ธรรมนัสในช่วงนี้จึงน่าจับตามองเป็นพิเศษ เนื่องจากชัดเจนว่า ร.อ.ธรรมนัสสนับสนุนบัตรเลือกตั้ง 2 ใบสอดรับกับแนวทางของพรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์

ประกอบกับการปรากฏตัวถี่ ๆ ของนายทักษิณ ชินวัตร ในคลับเฮ้าท์ช่วงนี้ และเรียกร้องให้ประชาชนไปกดดัน ส.ส.ในพื้นที่ให้ช่วยสนับสนุนร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบทั้งยังเชื่อว่า ร.อ.ธรรมนัสน่าจะยังคงมีความเชื่อมโยงกับนายทักษิณในฐานะที่เคยอยู่ร่วมพรรคเดียวกันมาหลายปีก่อนหน้านี้และเป็นชาวภาคเหนือด้วยกัน

ขณะที่บิ๊กตู่และพรรคภูมิใจไทยและกลุ่มพรรคเล็กสนับสนุนบัตรเลือกตั้งใบเดียว

นั่นหมายความว่าหากรัฐสภาผ่านร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ใช้บัตรเลือกตั้ง 2 ใบ โอกาสที่พรรคเพื่อไทยและนายทักษิณ ชินวัตร กับพวกพ้องที่หนีคดีจะกลับมาเรืองอำนาจจึงเป็นไปได้สูง การตามเช็คบิลและความวุ่นวายทางการเมืองจะหวนคืนมาเป็นวิกฤติของบ้านเมืองอีกครั้ง

ข้อสังเกตอีกประการหนึ่งคือการปลด ร.อ.ธรรมนัสบิ๊กตู่น่าจะไม่ได้หารือกับ พล.อ.ประวิตรมาก่อนจริง ๆ คงคิดว่าถ้าหารือพี่ใหญ่ก็คงจะห้าม เพราะ ร.อ.ธรรมนัสในเวลานี้เหมือนแขนขาของ พล.อ.ประวิตร ในพรรคพลังประชารัฐ

แต่ท้ายที่สุดแล้วเลือด 3 ป.ข้นยิ่งกว่าน้ำ ไม่มีวันแตกหักกันได้ ดูจากวันจันทร์ที่ผ่านมา พี่น้องสองพยัคฆ์เข้าไปจับมือถือแขนยิ้มให้กัน สยบข่าวลือการแตกแยก

แต่ประเด็นบัตรเลือกตั้ง 2 ใบ มันไม่ใช่เรื่องของพรรคพลังประชารัฐเพียงพรรคเดียว แต่พรรคการเมืองใหญ่อย่างประชาธิปัตย์ซึ่งเป็นพรรคร่วมรัฐบาลทั้งยังเป็นเจ้าของร่างแก้ไข ถ้ายังคุยกันไม่รู้เรื่องในขณะที่ผ่านมติความเห็นชอบจากที่ประชุมรัฐสภาไปแล้ว โอกาสที่รัฐนาวาจะไปกันไม่รอดก็เป็นไปได้

กล่าวกันว่าถ้าบิ๊กตู่ยังมีความตั้งใจที่จะให้มีการเลือกตั้งแบบบัตรใบเดียว โอกาส “ยุบสภา” ก่อนร่างแก้ไขจะได้นำเข้าสู่ขั้นตอนการลงพระปรมาภิไธยจึงเป็นไปได้สูง

ถ้าบิ๊กตู่ส่งสัญญาณว่าจะมีการยุบสภา เชื่อว่า ส.ส.ไม่ว่าฝ่ายค้านหรือฝ่ายรัฐบาลก็คงไม่มีใครชอบแน่ เพราะนักการเมืองจะต้องกลับไปสู่บรรยากาศการเลือกตั้งที่ต้องลงพื้นที่เหน็ดเหนื่อยแสนเข็ญและต้องใช้เงินในการหาเสียงจำนวนมาก การเลือกตั้งก็กลับไปใช้แบบบัตรใบเดียวเหมือนเดิม เป็นการสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยกลับมาครองอำนาจเหมือนเช่นในอดีต

เชื่อว่ายังไม่มีใครพร้อมสำหรับการเลือกตั้งในบรรยากาศการระบาดของไวรัสโควิด-19 โอกาสที่พรรคประชาธิปัตย์จะถอนตัวก็คงไม่ใช่เรื่องง่าย นอกจากจะคิดว่าไม่มีอะไรจะเสีย เพราะเลือกตั้งครั้งหลัง ๆ ประชาธิปัตย์ได้จำนวน ส.ส.ลดน้อยถอยลงเรื่อย ๆ แม้แต่พื้นที่ภาคใต้ก็เสียที่นั่งให้แก่พรรคการเมืองอื่นจำนวนมาก

ถ้ามีการยุบสภาจริง นั่นหมายถึงว่าบิ๊กตู่ทิ้งทวน พร้อมยุติบทบาทางการเมือง!!

ถามว่ายุบสภาแล้ว ร.อ.ธรรมนัสจะหวนคืนพรรคเพื่อไทยรังเก่าหรือไม่ คิดว่าคงไม่ไป เพราะกลับไปก็คงไม่ใหญ่เหมือนอยู่พลังประชารัฐ เมื่อการเมืองไร้เงาบิ๊กตู่ ร.อ.ธรรมนัสก็คงจะเคลื่อนไหวได้มากขึ้น แต่ถ้าอยู่พลังประชารัฐแล้วยังมีก้างขวางคอ ก็คงจะอยู่ร่วมกันไม่ได้ โอกาสที่ร.อ.ธรรมนัสจะรวมสมัครพรรคพวกไปตั้งพรรคการเมืองใหม่จึงเป็นไปได้สูง ตัว ร.อ.ธรรมนัสเองก็มีฐานะทางการเงินอยู่มิใช่น้อย ยิ่งถ้าได้แตะมือกับนายทักษิณ บรรดางูเห่างูเขียวจากพรรคต่าง ๆ คงจะเลื้อยไปอยู่กับพรรคใหม่ของ ร.อ.ธรรมนัสรวมแนวทางกับพรรคเพื่อไทย

            ก็ต้องจับตาดูกันต่อไป การเมืองไทยในช่วงนี้กะพริบตาไม่ได้จริง ๆ

            หันมามองพฤติการณ์ของ 2 พระมหาชื่อดัง พระมหาไพรวัลย์ กับพระมหาสมปอง ที่กำลังอยู่ในกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในขณะนี้ว่ากระทำตัวเหมาะหรือไม่เหมาะแก่สมณสารูป

กิจของสงฆ์ไปออกสื่อแสดงธรรมะเป็นเรื่องดีงามและพระนักเทศน์หลายรูปก็ประพฤติเช่นนี้มานานแล้ว แต่พระสงฆ์ที่ออกสื่อแสดงความเห็นเสียดสีเหน็บแนมทางด้านการเมือง ไม่สมควรเป็นอย่างยิ่ง

โดยวิสัยของพระเวลาขึ้นธรรมาสน์เทศน์แล้วมีคนฟังจำนวนมาก หลายรูปก็มักจะแสดงตัวตนออกมาเต็มที่ เหมือนมีคนมาเชียร์ให้กำลังใจ พระที่เทศน์หรือแสดงธรรมได้อย่างสำรวม น้ำเสียงและลีลามีมนต์เสน่ห์สะกดจิตใจผู้ฟังก็เป็นแบบหนึ่ง พระที่เทศน์แล้วมีลีลาตลกโปกฮาก็จะมีผู้นิยมชื่นชอบอีกแบบหนึ่ง พระนักเทศน์แต่ละรูปจะไม่เหมือนกัน สำคัญอยู่ตรงเนื้อหาสาระของธรรมะที่นำมาแสดงเป็นเรื่องอะไร ถ้าเอาการเมืองที่อาจส่อไปในทางแตกแยกหรือทำให้สังคมเลือกข้างเข้ามาในเนื้อหาของธรรมะ ก็ไม่สมควร

            การจะกำหนดว่าเนื้อหาที่นำมาแสดงธรรมจะต้องเป็นเนื้อหาธรรมะกี่เปอร์เซ็นต์ ตลกกี่เปอร์เซ็นต์ คงจะกำหนดยาก เวลาเทศน์หรือแสดงธรรมก็จะรื่นไหลไปตามบรรยากาศ คนฟังเฮ พระก็ยิ่งสนุก ปากพาไปเรื่อย

            ที่ไม่ควรนำเรื่องการเมืองมาเกี่ยวข้องกับการเผยแผ่ธรรมะ เพราะการเมืองมักเป็นเรื่องของความขัดแย้งของคนสองฝ่าย เป็นเรื่องตัณหา เป็นเรื่องอำนาจที่ช่วงชิงกันผลประโยชน์ก็ขัดกันเขาถึงกำหนดมิให้พระใช้สิทธิ์เลือกตั้ง เพราะมิใช่กิจของสงฆ์

เรื่องของพระที่ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ย้อนไปเมื่อปี 2457 พระอุบาลีคุณูปมาจารย์ (สิริจนฺโท  จันทร์)ได้เลื่อนสมณศักดิ์เป็น พระเทพโมลี ถูกถอดยศออกจากตำแหน่งในปี 2458 เนื่องจากท่านเทศน์เรื่องบทบาทของรัฐบาลในสมัยนั้นที่เรี่ยไรซื้อเรือ ในหลวงรัชกาลที่ 6 มีพระราชประสงค์มิให้พระยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมือง

ดังนั้นกรณีของพระมหาไพรวัลย์และพระมหาสมปองที่อดจะเกี่ยวข้องกับการเมืองไม่ได้ ถ้าอยู่ในสมัยรัชกาลที่ 6 คงไม่มีโอกาสได้หัวเราะคิกคักออกสื่อแบบทุกวันนี้

ในหลวงรัชกาลที่ 6 ทรงตรัสว่า “เทศน์เอื้อมเข้ามาถึงการแผ่นดิน” ก็เป็นโทษใหญ่

พระสงฆ์ควรจะประพฤติตนให้สำรวม ศีล 227 ข้อต้องแม่นยำ ทำอะไรอย่าประเจิดประเจ้อ พอประพฤติผิดสมณสารูปบ่อยครั้งเข้า ประชาชนก็อาจจะเสื่อมศรัทธาได้.

error: ขอสงวนสิทธิ์ ในการคัดลอกบทความ !!