ไม่ควรวิตก ‘กัญชาเสรี’ คนละเรื่องกับ ‘ยาบ้า’ หรือ ‘เฮโรอิน’



ข่าวเมื่อวันก่อน กรณีประธานสภานักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ประกาศขอให้ยกเลิกการ “หมอบกราบ” ในงาน “พิธีไหว้ครู” และงาน “บายศรีสู่ขวัญ” ในมหาวิทยาลัย เปลี่ยนเป็นการ “ไหว้” เท่านั้น ก็มีผู้วิจารณ์กันมากมายว่าการกระทำเช่นนั้นเหมาะควรหรือไม่
สังเกตได้ว่าเยาวชนคนรุ่นใหม่สมัยนี้ค่อนข้างพูดกันยาก น่าจะเกิดจากการเลี้ยงดูและการอบรมสั่งสอนที่ไม่เหมือนสมัยก่อน
เด็กสมัยนี้ไม่ค่อยผูกพันกับพ่อแม่ ตั้งแต่แรกเกิดก็ไม่ค่อยกินนมแม่ แม่ส่วนใหญ่ต้องทำงาน ไม่ค่อยมีเวลา ก็ให้ลูกดื่มแต่นมวัวที่ปรุงสำเร็จ ความผูกพันแม่ลูกทางสายเลือดแทบจะไม่มี
ยิ่งตอนนี้มีผู้ใหญ่ที่อ้างตัวเป็นนักประชาธิปไตยมาชี้นำว่าต้องมีสิทธิเสรีภาพ คนทุกวัยเสมอภาคกัน รับคตินิยมมาจากพวกชาติตะวันตกที่ไม่นิยมเคารพผู้ใหญ่ มองว่าทุกคนไม่มีใครใหญ่กว่าใคร เท่าเทียมกันหมด
หากมองย้อนไปเมื่อสมัยก่อน พวกฝรั่งตะวันตกที่เข้ามายังประเทศแถบเอเชีย ส่วนใหญ่มาอย่างดูถูกเหยียดหยาม มาเพื่อรุกรานเอาแผ่นดิน ต่างจากชาวจีนที่เป็นเอเชียด้วยกัน คนจีนมาเมืองไทยเพื่อค้าขาย
คิดดูซิว่าพวกหนึ่งมาค้าขาย แต่อีกพวกหนึ่งมุ่งมาเอาแผ่นดินของคนอื่น ความมุ่งหมายก็ไม่เหมือนกันแล้ว นอกจากไม่เหมือนแล้วยังดูแคลนเหยียดหยามชาวเอเชียว่าเป็นชาติล้าหลัง
ไม่ศิวิไลซ์เหมือนพวกเขา
เพราะฉะนั้น พวกฝรั่งที่เห็นดีเห็นงามกับคนไทยหาได้ยากยิ่ง พวกนี้พยายามจะมาครอบงำเด็กไทยสารพัดวิธี ให้ทุนส่งเด็กไทยไปรับเอาวัฒนธรรมจากพวกมัน เช่น ให้เด็กระดับมัธยมปลายชิงทุนไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาหรือประเทศแถบตะวันตกระยะสั้น ๑ ปี เพื่อไปฝังหัวรับเอาแนวคิดของพวกฝรั่งมาใช้ในเมืองไทย
ในระดับมหาวิทยาลัยก็มีการชิงทุนให้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกาหรือยุโรปจนจบปริญญาตรี–
โท-เอก คนที่ได้มีโอกาสไปเรียนจำนวนหนึ่งก็หล่อหลอมเอาแนวคิดและแนววัฒนธรรมของ
ชาติตะวันตกมาใช้ในไทย เกิดความชังชาติตัวเอง ดูแคลนชาติตัวเองล้าหลัง
มีผลงานการวิจัยของพวกฝรั่งที่พบว่าคนไทยผูกพันกับสถาบันครอบครัว สถาบันพระมหากษัตริย์อย่างฝังลึกอยู่ในจิตใจของคนไทยมาแต่โบราณ จึงคิดว่าจะทำอย่างไรให้คนไทยไม่ติดยึดกับวัฒนธรรมดังกล่าว เพื่อจะมาครอบงำได้ง่าย หาทางว่าทำอย่างไรก็ได้ที่จะให้คนไทยเกิดความแตกแยกกันทางความคิดให้มากที่สุด พอแตกแยกแล้ว ต่อไปข้างหน้าวัฒนธรรมของคนไทยที่เคยมีอยู่ก็จะค่อย ๆ ถูกกลืนหมดไป โดยมีวัฒนธรรมของพวกเหล่านี้เข้ามาแทนที่
“พิธีไหว้ครู” ใครจะกราบจะไหว้แบบไหนก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่ละสถาบันการศึกษาหรือแต่ละแห่งไม่เหมือนกัน ซึ่งเป็นไปตามท้องถิ่นนิยม ใครจะกราบแบบ “หมอบกราบ” หรือ “พนมมือไหว้” ก็ถือว่าแสดงความเคารพเหมือนกัน
อันที่จริงการไหว้ครูโดยวิธีหมอบกราบก็ค่อนข้างจะหายากขึ้นทุกวันอยู่แล้ว ประธานนักศึกษามหาวิทยาลัยอุบลราชธานีไม่ต้องจุดให้เป็นประเด็นขึ้นมาก็ได้ ไม่ใช่เรื่องใหม่อะไรเลย หลายโรงเรียนก็ให้เด็กกระพุ่มมือไหว้ครูแบบสวยงาม ซึ่งการไหว้ครูไม่ว่าจะหมอบหรือพนมมือไหว้ต้องกระทำด้วยใจที่เคารพ สำนึกในพระคุณครูที่ให้การอบรมสั่ง เป็นวัฒนธรรมดีงามของไทยที่มีมาแต่โบราณ
ผู้นำนักเรียนหรือผู้นำนิสิตนักศึกษาหลายสถาบันที่พยายามต่อต้านการหมอบกราบ กล่าวหาว่าว่าเป็นซากเดนศักดินา ต้องยกเลิก นั่นแสดงว่าจิตใจที่เคารพครูอาจารย์ที่ให้การศึกษาได้ลดน้อยหรือจืดจางลงไปจากคนพวกนี้
สมัยก่อนพวกที่เรียนวิชาช่างศิลปะไทยแขนงต่าง ๆ จะต้องมีครู มีพิธีไหว้ “ครูช่าง”
ทุกปี คนที่มีครูแล้วไม่ให้ความเคารพครูมักจะเกิดเหตุเภทภัยต่าง ๆ เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ตีค่าครู
เป็นเพียง “ผู้รับจ้าง”
คำว่า “ครู” กับ “อาจารย์” สมัยก่อนเขามองว่าครูคือพวกที่ไม่มีปริญญา ส่วนอาจารย์คือคนที่มีปริญญาแล้ว เป็นอาจารย์สมัยก่อนไม่ใช่จะเป็นกันง่าย ๆ โรงเรียนไหนมีการเรียนการสอนระดับเตรียมอุดมศึกษาจะเรียกครูผู้สอนว่า “อาจารย์” แต่ถ้าเป็นผู้บริหารและสอบได้ชั้นเอก จึงจะเรียกว่า “อาจารย์ใหญ่”
แต่สมัยนี้เรียกครูก็ได้ อาจารย์ก็ได้ คำว่าอาจารย์สมัยก่อนมักจะใช้เรียกกับผู้สอนที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ หรือพระที่มีเวทมนตร์คาถาน่าเลื่อมใสถูกเรียกว่า “พระอาจารย์” พิธีไหว้ครูยังใช้
คำว่า “ครู” เพราะคำนี้ติดกันมาแต่เดิม
อีกเรื่องหนึ่งคือประเด็นการปลดล็อกกัญชาและกัญชง หรือ นโยบาย “กัญชาเสรี” ที่ผลักผลักดันโดย พรรคภูมิใจไทย ที่มี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รมว.กระทรวงสาธารณสุข เป็นหัวหน้าพรรค สามารถปลดล็อกได้สำเร็จเมื่อ ๙ มิถุนายน ๒๕๖๕ แต่ต้องลงทะเบียนจดแจ้งการปลูกกัญชาในครัวเรือน มีผู้แห่กันลงทะเบียนกว่า ๒ ล้านราย
แต่หลังประกาศปลดล็อกเพียง ๒ – ๓ วัน ก็มีกระแสออกมาในทำนองว่าไม่ควรปล่อยให้กัญชาเสรีโดยไม่มีกฎหมายควบคุม เนื่องจากเห็นว่านอกจากจะเป็นประโยชน์ในทางการแพทย์แล้ว แต่พิษภัยของกัญชายังมีอยู่ โดยเฉพาะผู้ที่เอาไปเสพอาจจะเกิดอาการหลอนและก่อปัญหาสังคมได้ จากนั้นก็มีประกาศออกมาควบคุมหลายฉบับ โดยเฉพาะในสถานศึกษาทั่วประเทศได้มีการประกาศเตือนและคาดโทษผู้ฝ่าฝืน
จึงทำให้มองได้ว่าทุกเรื่องพอเข้ามาทางวิชาการหรือมีอำนาจรัฐเข้ามาเกี่ยวข้อง ก็จะหาทางควบคุม สมัยก่อนที่ยังไม่มีกฎหมายควบคุมกัญชาว่าเป็นยาเสพติด เขาก็อยู่กันมาไม่มีปัญหาอะไร เวลามีพิธีไหว้ศิลปะ ก็จะมีกัญชาเข้ามาเกี่ยวเป็นของสังเวยครู
เมื่อปลดล็อกกัญชาให้มีความเสรีแล้ว ยังมัวแต่จะเป็นห่วงนั่นเป็นห่วงนี่ ผลสุดท้ายก็
ไม่สามารถเดินหน้าทำอะไรได้ ไม่เห็นจะต้องออกกฎหมายมาควบคุมให้ยุ่งยาก สมัยโบราณก็ใช้กัญชาเป็นโอสถรักษาโรคภัยหรืออาการต่าง ๆ ตอนนี้ปลดล็อกก็มีคนเอาไปขายกันข้างถนน ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติดีกว่า ไหน ๆ ก็เห็นตรงกันว่ากัญชามีประโยชน์มากกว่าผลเสีย
คนที่เอาไปใช้เสพ ส่วนใหญ่อยากลอง หลายคนเป็นห่วงเด็กอาจจะเสียคนเพราะกัญชา
แต่เคยมีการพิสูจน์กันมาแล้วว่าน้ำกัญชาที่หยอดใต้ลิ้นเด็ก สามารถทำให้เด็กเรียนดีขึ้นจากเดิมได้ โรคภัยบางอย่างก็หายไปจากตัวเด็ก ถ้าใช้อย่างถูกช่องถูกทางก็มีประโยชน์มากมาย
นายปานเทพ พัวพงศ์พันธ์ ผู้รณรงค์เรื่องกัญชา พูดเมื่อวันก่อนว่าร้านอาหารที่มีส่วนผสมกัญชา ควรต้องติดป้ายบอก ถือว่าเป็นมารยาทของพ่อค้านักธุรกิจที่รับผิดชอบ ซึ่งก็เห็นด้วยถ้าใครไม่ชอบอาหาร ขนม หรือน้ำดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชาก็จะได้ไม่ต้องซื้อ
อย่างไรก็ตาม ผู้เกี่ยวข้องควรบอกถึงโทษที่อาจเกิดขึ้นอย่างชัดเจน อย่าให้เด็กทดลองเอง
ผู้ใหญ่ย่อมรู้อยู่ว่าอะไรเป็นอะไร ถ้าหากว่าไม่บอก เสพแล้วก็จะเกิดอาการ เพราะอยากรู้ว่าเสพแล้วเคลิบเคลิ้มเป็นยังไง บางคนเสพแล้วแพ้ เข็ดกันไปเลย คนเสพจะรู้ดีว่าเมื่อเสพแล้วควรจะเสพต่อไปหรือเปล่า
แต่จะเอา “กัญชา” ไปเทียบกับ “ยาบ้า” หรือ “เฮโรอิน” ไม่ได้ เพราะยาบ้า-เฮโรอินเป็นยาเสพติดร้ายแรง เสพแล้วติด ต้องเพิ่มปริมาณการเสพมากขึ้นเรื่อย ๆ ทำลายสุขภาพ ก่อปัญหาอาชญากรรม จึงต้องมีกฎหมายควบคุมอย่างเข้มงวด
แต่เสพกัญชาแล้วหยุดได้ คิดจะหยุดก็หยุดได้เอง วัยรุ่นสมัยก่อนหรือสมัยนี้ส่วนหนึ่งก็อยากลองสูบกัญชากัน เพราะสูบแล้วหายเครียด สบายใจ หัวเราะ อารมณ์ดี ไม่ทำร้ายใคร จะมีบ้างบางคนที่เสพแล้วไม่เลิก ก็จะออกอาการเพี้ยน ๆ
วกมาเรื่องการเมืองบ้าน วันก่อน นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้รับเชิญให้ไปปาฐกถาในโอกาส ๘๘ ปีของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ตอนหนึ่งคุณสมคิดว่าการเมืองปัจจุบันเป็นยุค “ประชาธิปไตยแจกกล้วย” แจกอย่างไม่อายฟ้าดิน แล้วทิ้งคำถามว่าบ้านเมืองจะไปรอดหรือไม่ถ้ายังใช้วิธี “แจกกล้วย” กันอยู่อย่างนี้
ไอ้รอดคงรอด เพราะไม่มีประเทศไหนหายไปจากโลกง่าย ๆ แต่เราต้องอดทนกับมัน สำคัญว่าอย่าเที่ยวปฏิวัติรัฐประหารบ่อย ๆ เพราะถ้าบ่อยก็จะไม่มีการเรียนรู้ประชาธิปไตยให้ถึงแก่นสักที
ถ้าพื้นฐานของคนในประเทศไม่ได้รับการฝึกให้ชิงชังรังเกียจการซื้อเสียงขายสิทธิ์
ก็จะมีการซื้อเสียงวนเวียนไม่จบสิ้น ถ้าได้ฝึก ได้รับการชี้ช่องว่าผลของการรับเงินซื้อเสียงแล้วไปลงคะแนนเลือกตั้งให้คนซื้อ ผลเสียจะเกิดแก่ประเทศชาติโดยรวมอย่างไร
คนที่ซื้อเสียงไม่ใช่ว่าจะได้รับเลือกกันทุกคน สมัยก่อนที่ภาคอิสาน ผู้สมัคร ส.ส.
เอาปลาทูเค็มไปแจกชาวบ้าน ถูกเรียกว่า “ส.ส.ปลาทูเค็ม” นักการเมืองบางรายก็หิ้วกระเป๋าเจมส์บอนด์ใส่เงินไปแจก แล้วได้รับเลือก แต่ต่อมา ส.ส.ที่แจกในลักษณะนี้ก็ไม่เป็นที่นิยมของประชาชน เพราะเมื่อได้เข้าสภาแล้วไม่มีความรู้ความสามารถที่จะเป็นผู้แทนปวงชนได้ กาลเวลาที่ผ่านไปคนจะเกิดการเรียนรู้
เรื่องประชาธิปไตยควรปลูกฝังกันตั้งแต่เด็ก โรงเรียนก็จัดให้มีประชาธิปไตยในห้องเรียนด้วยการเลือกหัวหน้าห้อง หรือประธานสภานักเรียน คนเป็นหัวหน้าหรือประธานหาเสียงเพื่อให้ตัวเองได้รับเลือก เด็ก ๆ จะใสซื่อ ไม่ใช้เงินซื้อ แต่ต้องเอาจิตใจที่เสียสละแก่ส่วนรวมเป็นเครื่องมือเสาะหาคะแนน และสามารถเป็นปากเป็นเสียงแทนเพื่อนนักเรียนทั้งห้องหรือทั้งโรงเรียนได้.