เมื่อโควิดคลี่คลาย

การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ตั้งแต่ปลายปี ๒๕๖๒ จนถึงขณะนี้เป็นเวลานานกว่า ๒ ปี มีผู้คนบนโลกติดเชื้อป่วยและล้มตายมากเป็นประวัติการณ์ สถานการณ์เศรษฐกิจทั่วโลกประสบชะตากรรมเดียวกันคือผู้ประกอบการที่มีสายป่านสั้นต้องพังพินาศย่อยยับ ขาดทุน ปิดโรงงาน ปิดสถานบริการ เลิกจ้างงาน มีคนตกงานจำนวนมากปัญหาอาชญากรรมติดตามมาอย่างมากมายผู้รอดชีวิตจากสถานการณ์นี้ส่วนใหญ่ปฏิบัติตนตามมาตรการทางสาธารณสุขอย่างเคร่งครัดและไปเข้ารับการฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-๑๙ จนขณะนี้อยู่ในจำนวนที่น่าพอใจ เมื่อจำนวนผู้ติดเชื้อลดลงอย่างต่อเนื่อง หลายประเทศก็กำลังมีมาตรการผ่อนคลาย และหลายประเทศก็อนุญาตให้ถอดหน้ากากอนามัยไปมาหาสู่กันได้ตามปกติแล้ว

            สำหรับประเทศไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.กระทรวงสาธารณสุข แถลงเมื่อต้นเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาว่าประเทศไทยสามารถรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-๑๙ ได้เป็นอย่างดี มีความพร้อมเผชิญปัญหาและสามารถปรับตัวรับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ประชาชนส่วนใหญ่ให้ความร่วมมือ ขณะนี้สถานการณ์การระบาดคลี่คลายมาจนถึงจุดที่กรมควบคุมโรคและกระทรวงสาธารณสุขมีความมั่นใจว่าจะสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ลดลงต่ำลงเรื่อย ๆ มีผู้ได้รับการฉีดวัคซีนโควิดไปแล้วกว่า ๑๓๗ ล้านโดส และฉีดเข็มกระตุ้นเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

            รัฐบาลกำลังเตรียมความพร้อมเปลี่ยนผ่านโรคโควิด-๑๙ไปสู่โรคประจำถิ่น ๔ ด้าน คือ ๑.มาตรการด้านสาธารณสุขเร่งการฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้นให้ได้มากกว่า ๖๐ % ผ่อนคลายมาตรการสำหรับผู้เดินทางจากต่างประเทศ ปรับแนวทางการแยกกักผู้ป่วยและกักกันผู้สัมผัส๒.ปรับแนวทางการดูแลรักษาเป็นแบบผู้ป่วยนอก เน้นดูแลผู้ป่วยโควิด-๑๙ ที่เสี่ยงหรือมีอาการรุนแรง ๓.มาตรการปรับด้านกฎหมาย สังคมและองค์กร พิจารณาให้ปรับโรคโควิด-๑๙ จากโรคติดต่ออันตราย เป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังผ่อนคลายมาตรการทางสังคม และ ๔.ให้ทุกภาคส่วนร่วมการสร้างความรู้ความเข้าใจให้ประชาชนสามารถดำเนินชีวิตร่วมกับโควิดได้

            ขณะนี้แม้ภาครัฐจะออกมาตรการต่าง ๆ เพื่อผ่อนคลายและให้สอดรับกับจำนวนลดลงของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิต แต่ต้องไม่ลืมว่าเชื้อไวรัสโควิด-๑๙ สายพันธุ์ต่าง ๆ ยังคงวนเวียนอยู่ ยังไม่หายไปเสียทีเดียว หลายประเทศก็มีข่าวระบาดซ้ำมีจำนวนผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น ดังนั้น คนไทยจึงไม่ควรตั้งตนอยู่บนความประมาทแม้ในอีกไม่นานทางการจะประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น ขอให้ปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโรค ใส่หน้ากากอนามัย เว้นระยะห่างเท่าที่จำเป็น ฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น ซึ่งการได้รับวัคซีนเข็ม ๓,เข็ม ๔สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ ๗๖ % ป้องกันอาการหนักและการเสียชีวิตได้ ๙๙ % ชีวิตทุกคนมีค่าควรแก่การรักษาไว้เพื่อเผชิญหน้ากับอุปสรรคอีกหลายอย่างในชีวิตนี้.

error: ขอสงวนสิทธิ์ ในการคัดลอกบทความ !!